10 คำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกคนฟังโดยไม่รู้ตัว
“จงคิดก่อนพูด” แต่บางครั้งแม้ว่าคุณจะระวังคำพูดแค่ไหนก็ตาม มันก็อาจทำร้ายจิตใจคนฟังได้ และนี่คือ 10 คำพูด ที่คุณมากใช้กับคนใกล้ตัว
1.ถ้าเธอทำไม่ได้ ก็ปล่อยไว้นั่นแหละ ฉันทำเอง
หากคุณพูดประโยคนี้กับเด็กเล็ก ๆ อาจส่งผลให้เด็กรู้สึกเสียความมั่นใจในตัวเองได้ ในทางกลับกัน หากคุณพูดกับเพื่อนร่วมงาน พวกเขาอาจรู้สึกว่ากำลังถูกคุณสบประมาทอยู่ และจะคิดว่าคุณกำลังสงสัยในความสามารถของเขา แทนที่คุณจะพูดไปตรง ๆ แบบนั้นลองเปลี่ยนเป็นการถามไถ่ว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากคุณไหม จะดีกว่า
2.บอกตรง ๆ ฉันไม่รู้ว่าเธอเห็นอะไรดีในตัวเขา…
การตัดสินความรักของเพื่อน เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนดิ่งลง และหลายครั้งที่ต่างคนก็ต่างเจ็บปวดกับเรื่องนี้
3.ฉันประหลาดใจมากที่หัวหน้าให้คุณทำงานนั้น
คำพูดนี้ดูจะมีกลิ่นความขี้อิจฉาปนเข้ามานิด ๆ เหมือนกับว่าคุณต้องการจะบอกเพื่อนร่วมงานว่า “จริง ๆ แล้วมันต้องเป็นฉันสิ ที่ได้ทำงานนั้น” แม้ว่าคุณจะผิดหวังที่พลาดงานนั้นมากแค่ไหน แต่คุณควรแสดงความยินดีกับเพื่อนมากกว่า และควรเสนอตัวช่วยเหลือเขาด้วย หากคุณต้องการแสดงความจริงใจจริง ๆ
4.ฉันนึกว่าคุณจะอายุมากกว่านี้ซะอีก
มันก็เหมือนกับการบอกคนอื่นว่าเขาดูแก่นั่นแหละ! หากมีคนบอกอายุของเขาแก่คุณ การตอบอย่างสุภาพที่สุดคือ คุณต้องบอกอายุของคุณเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับบริบทด้วย คุณต้องรู้สึกวางใจคู่สนทนามากพอที่จะบอกข้อมูลส่วนตัวแบบนี้ให้เขารับรู้ได้ แต่บางสถานการณ์ เช่น คุณไม่จำเป็นต้องบอกอายุกับคนแปลกหน้าที่รอรถบัสอยู่ที่เดียวกับคุณก็ได้
5.ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่ได้ต้องการคำแนะนำจากคุณ
มันจะไม่เป็นปัญหาเลยหากคุณพูดประโยคนี้กับคนแปลกหน้า หรือคนที่ไม่ได้สนิทด้วย แต่หากจะใช้กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะก็ คุณต้องกลับไปคิดใหม่ เนื่องด้วยอายุที่น้อยกว่าของคุณ และพ่อแม่มักจะยินดีให้คำแนะนำแก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหนก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือ การับฟังข้อแนะนำจากพวกท่าน แต่หลังจากนั้นคุณค่อยมาตัดสินใจเองว่าจะทำตามหรือไม่!
6.ฉันว่า เด็กคนนั้นต้องหาแม่แล้วล่ะ
ประโยคนี้เหล่าบรรดาคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวได้ยินละถึงกับจุกเลยทีเดียว มันค่อนข้างทำร้ายจิตใจกัน เพราะว่าคำพูดนี้พาให้เราคิดว่าคุณพ่อคนนั้นไม่สามารถดูแลลูกได้แน่นอน เด็กจะร้องไห้เวลาหิว แต่มันก็ยังมีอีกล้านสาเหตุที่พวกแกร้องไห้ อย่างต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม อยากเปลี่ยนท่านอน หรืออาจแค่เพลียเท่านั้น ฯลฯฉะนั้นหากเด็กไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการนมแม่ คุณก็ควรเลี่ยงการพูดประโยคนี้ซะ และเสนอเป็นคำถามแสดงความเต็มใจในการช่วยเหลือแทน เช่น การช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม
7.เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะ
คำถามแนวนี้ สามารถช่วยคุณได้ในสถานการณ์ที่คุณไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่คู่สนทนาพูดสักเท่าไร มันช่วยเบี่ยงประเด็นในการสนทนาได้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ อาจใช้ประโยคนี้แทนได้ “ขอโทษที พอดีเมื่อกี้มีเรื่องให้คิดน่ะ”
8.คุณเข้าใจที่ในสิ่งที่ฉันพูดไหม?
มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใส่ใจกับเนื้อหาหรือคู่สนทนาที่เราคุยด้วย ก่อนที่จะถามคำถามนี้ จะไม่เป็นปัญหาเลย หากคุณตั้งคำถามนี้กับเด็ก ๆ เพื่อเช็คความเข้าใจในคำสั่งที่สั่งออกไป (เช่น สั่งทำความสะอาดห้อง สั่งให้เงียบ ฯลฯ)ในทางกลับกัน หากคุณย้ำคำถาม “คุณเข้าใจที่ในสิ่งที่ฉันพูดไหม” หลาย ๆ ครั้งกับเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนของคุณ มันดูจะทำร้ายจิตใจกันไปนิด พวกเขาจะคิดว่าคุณทำอย่างกับพวกเขาเป็นคนโง่ หรือกังขาในความสามารถในการรับรู้ของพวกเขาแทนที่จะใช้ประโยคนั้น ควรถามแบบนี้น่าจะดีกว่า “หากมีคำถาม ไม่ต้องเกรงใจนะ ฉันยินดีช่วย”
9.นี่ประจำเดือนกำลังจะมารึเปล่า?
ห้ามถามคำถามนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทไหนก็ตาม อาจจะฟังดูแซวกันเล่นๆสำหรับคนที่สนิทกัน แต่ในบางวัฒนธรรมคำนี้คือคำต้องห้าม เหมือนกับคุณกำลังตะโกนใส่หน้าอีกคนว่า…แกมันพวกอีคิวต่ำ!ผู้เขียนเอง(มายทาม คณพศ) ก็ไม่ชอบประโยคนี้เหมือนกัน
10.นี่จะใส่ชุดนี้เหรอ ?
คุณอาจตั้งคำถามนี้กับรสนิยมการแต่งตัวแสนแย่ของแฟนคุณ แต่หากคุณต้องการที่จะให้เขาหรือเธอดูดีก่อนออกจากบ้านจริง ๆ ควรแนะนำให้เปลี่ยนใส่ตัวอื่น อย่างเช่น แนะนำให้ลองใส่กางเกงยีนส์ที่ช่วยเน้นโชว์เรียวขา เพียงลองเปลี่ยนคำพูด และคงความปรารถนาดีไว้